3 ก.พ.2566 – www.area.co.th ได้เผยผลสำรวจตลาดที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จากการเปิดตัวโครงการใหม่ทุกเดือนรวมกันพบว่าในรอบปี 2565 มีบริษัทที่มีผลงานการพัฒนาสูงสุด 10 อันดับแรก โดยในกรณีบริษัทมหาชน นับรวมกิจการของบริษัทลูกไว้ด้วย
ดร.โสภณ พรโชคชัย ระบุว่า บมจ.เอพี (ไทยแลนด์) ได้ครองแชมป์บริษัทพัฒนาที่ดินที่เปิดตัวโครงการมากที่สุด มีจำนวนหน่วยขายมากที่สุด และรวมมูลค่าการพัฒนาสูงสุดในรอบปี 2565 ตามด้วย “ม้ามืด” บจก.รีเจนท์กรีนเพาเวอร์ บริษัทนอกตลาดเพียงหนึ่งเดียวในโผ 10 บริษัทที่เปิดตัวโครงการสูงสุด ตลาดเข้าสู่ภาวะกึ่งผูกขาด
AP ครองแชมป์ บ.พัฒนาที่ดินในปี 2565
ในจำนวน 10 บริษัทที่มีการเปิดตัวโครงการสูงสุด โดยบริษัทอันดับหนึ่งก็คือ บมจ.เอพี (ไทยแลนด์) ด้วยจำนวนโครงการสูงถึง 46 โครงการ รวม 12,072 หน่วยที่เปิดใหม่ ในมูลค่าสูงสุดถึง 61,614 ล้านบาท โดยมีราคาเฉลี่ยหน่วยละ 5.104 ล้านบาท จะเห็นได้ว่าบริษัทนี้มีแชร์อยู่ในตลาดสูงถึง 11.3% ของจำนวนหน่วยเปิดใหม่ทั้งหมดและ 13% ของมูลค่าการพัฒนาที่เปิดใหม่ในปี 2565
อย่างไรก็ตามก่อนหน้าวิกฤติโควิด-19 บมจ.พฤกษาเรียลเอสเตท ครองแชมป์มาโดยตลอด เช่น ในปี 2561 เปิดตัวถึง 46 โครงการ รวม 15,574 หน่วย หรือ 12.4% ของหน่วยขายเปิดใหม่ทั้งหมดในปีดังกล่าว หรือในปี 2562 ก็เปิดตัวจำนวนหน่วยสูงสุดถึง 10,150 หน่วยเป็นอันดับหนึ่งเช่นกัน ในช่วงต่อมา บมจ.พฤกษาเรียลเอสเตท เน้นสินค้าคุณภาพมากขึ้น และในช่วง 2 ปีหลังมานี้ บมจ.เอพี (ไทยแลนด์) จึงเริ่มมาเป็นอันดับหนึ่งแทน
บจก.รีเจ้นท์กรีนเพาเวอร์ ‘ม้ามืด’ คอนโดราคาถูก
สำหรับในปี 2565 บจก.รีเจ้นท์กรีนเพาเวอร์ ซึ่งเป็นบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์เพียงแห่งเดียวที่สามารถครองรองแชมป์ โดยแม้จะเปิดตัวโครงการเพียง 2 แห่ง แต่ก็มีหน่วยขายรามกันถึง 8,105 หน่วย หรือ 7.6% ของหน่วยขายเปิดใหม่ทั้งหมด สินค้าของบริษัทนี้เป็นห้องชุดราคาถูก เป็นเงินหน่วยละ 1.2 ล้านบาทเท่านั้น
บริษัทอีกแห่งหนึ่งที่เน้นการพัฒนาสินค้าราคาถูกในจำนวนมากก็คือ บมจ.เสนาดีเวลลอปเม้นท์ ซึ่งพัฒนาถึง 4,946 หน่วย หรือ 4.6% ของจำนวนหน่วยทั้งหมด สินค้าของบริษัททั้งสองแห่งนี้ได้รับการตอบรับดีมากจากตลาด
บมจ.เอสซีฯ มาแรงด้านมูลค่าพัฒนา
สำหรับ บมจ.เอสซีแอสเสทคอร์ปอเรชั่น แม้จะติดอันดับ 10 ในจำนวนหน่วยเปิดใหม่ทั้งหมด คือเปิด 3,779 หน่วย หรือ 3.5% ของตลาด แต่ปรากฏว่าเป็นอันดับสองของบริษัทที่มีมูลค่าการเปิดตัวสูงสุดถึง 41,964 ล้านบาทหรือ 8.9% ของมูลค่าทั้งตลาด และเป็นบริษัทที่เน้นตลาดระดับบน โดยมีราคาเฉลี่ยของสินค้าที่อยู่อาศัยอยู่ที่ 11.105 ล้านบาท ตลาดระดับบนนี้ในอดีตเป็นของ บมจ.แลนด์แอนด์เฮาส์ บมจ.แสนสิริ บมจ.โนเบิลดีเวลลอปเมนท์ ซึ่งในปัจจุบันมีการพัฒนาที่หลากหลายมากขึ้น
“จะเห็นได้ว่า 10 บริษัทพัฒนาที่ดินที่พัฒนาจำนวนหน่วยมากที่สุดนั้น มีหน่วยขายรวมกันถึง 62,455 หน่วยหรือ 58% ของทั้งตลาด และหากพิจารณาในด้านมูลค่าการพัฒนา 10 บริษัทใหญ่สุด มีมูลค่ารวมถึง 278,845 ล้านบาท หรือ 59% ของทั้งตลาด ถ้านับรวมบริษัทมหาชนและบริษัทในเครือทั้งหมดในตลาดหลักทรัพย์ จะมีสัดส่วนรวม 80% ของทั้งตลาด”
ดร.โสภณ ยังระบุว่า กรณีนี้แสดงว่าบริษัทมหาชนอีกเกือบ 40 แห่งมีแชร์ในตลาดอีกราว 20% ที่เหลืออีก 20% เป็นของบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์และที่เป็นของบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์รายใหญ่ๆ ก็อาจมีแชร์อีกราว 10% แสดงว่าบริษัทพัฒนาที่ดินที่เป็นวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) นับร้อยๆ แห่งมีแชร์อยู่เพียง 10% เท่านั้น การพัฒนาที่อยู่อาศัยในปัจจุบันจึงมีลักษณะกึ่งผูกขาด
ที่มา : https://www.thansettakij.com/