แมทช์ไทม์” กะเทาะตลาดอสังหาฯต่างจังหวัด จัดอันดับท็อป 10 หัวเมืองรอง มีศักยภาพอัพเกรดเป็นเมืองลงทุนที่อยู่อาศัย รับอานิสงส์แหล่งท่องเที่ยว จ้างงาน รัฐลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน
นายไพโรจน์ วัฒนวโรดม กรรมการผู้จัดการ บริษัท แมทช์ไทม์ จำกัด เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า หลังจากเปิดบริการธุรกิจที่ปรึกษาพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์, บริหารงานขายโครงการ และรับบริหารจัดการครบวงจรตั้งแต่การสร้าง-ขาย-โอนในช่วง 1 ปีเต็มที่ผ่านมา ปัจจุบันแมทช์ไทม์มีงานในมือ 9 โครงการ กระจายทำเลในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด
นายไพโรจน์กล่าวว่า แมทช์ไทม์สะสมความพร้อมในช่วง 1 ปี ปัจจุบันวางแผนลงทุนพัฒนาโครงการของบริษัทเอง ล่าสุดเพิ่งรับโอนที่ดินขนาด 10 ไร่เศษ ทำเลถนนบางนา-ตราด กม.31 เมื่อเดือนกันยายน 2562 วางแผนภายใน 9 เดือนหรือภายในปลายไตรมาส 2/63 เตรียมเปิดขายทาวน์โฮมแบรนด์ใหม่ “NEW BURY”
“การซื้อบ้านเมื่ออยู่อาศัยแล้วเจ้าของต้องมีความภาคภูมิใจด้วย แบบบ้านสไตล์โมเดิร์นยุโรป ชั้นล่างเพดานสูง 2.6-2.7 เมตร แต่ชั้นบนสูงเท่าบ้านเดี่ยว 3.2 เมตร เกรดวัสดุสเป็กมาตรฐาน สุขภัณฑ์คอตโต้หรืออเมริกันสแตนดาร์ด วงกบอะลูมิเนียมชุบสีดำ บริษัทท็อป 5 ในตลาดใช้อะไร เราทำแบบนั้น”
ในด้านอัตราทำกำไร ปกติค่าเฉลี่ยวงการมีกำไรขั้นต้น 30-35% กำไรสุทธิ 15% ในขณะแมทช์ไทม์ต้องการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก เป้าหมายมีกำไรขั้นต้น 30% กำไรสุทธิยอมเฉือนเหลือ 10-12%
สำหรับเทรนด์ตลาดต่างจังหวัดประเมินว่ายังตามหลังตลาดในกรุงเทพฯ-ปริมณฑลเมื่อ 5-10 ปีที่แล้ว ดังนั้น โมเดลการพัฒนาโครงการสามารถหยิบประสบการณ์ที่เคยทำแล้วสำเร็จนำมาปรับใช้ในการทำการตลาด
จุดเน้นอยู่ที่ทุนท้องถิ่นต้องปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะการศึกษาความเป็นไปได้บนพื้นฐานข้อมูลหรือ data analysis ไม่ว่าจะเป็นการเก็บข้อมูลละเอียดในแต่ละวัน ลูกค้าวอล์กอิน ลูกค้าคอลล์สอบถามข้อมูล เหตุผลที่ซื้อ-ไม่ซื้อ การอัพเดตข้อมูลทุก 3 เดือน-6 เดือน-1 ปี
ในด้านพฤติกรรมลูกค้าต่างจังหวัด พบว่ามีเรื่องเซอร์ไพรส์ที่สวนทางกับตลาดกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ซึ่งในภาพรวมมีปัญหาการโอนได้น้อยลงเพราะส่วนหนึ่งเจอผลกระทบจากมาตรการ LTV-loan to value หรือมาตรการบังคับเพิ่มเงินดาวน์แพงในการขอเงินกู้ซื้อบ้านหลังที่ 2 เป็นต้นไป ผู้พัฒนาโครงการจึงปรับโมเดลหันมาทำบ้านสั่งสร้างมากขึ้น
ในขณะที่ลูกค้าต่างจังหวัดเป็นเรียลดีมานด์ พฤติกรรมผู้บริโภคถ้าเดินเข้าสำนักงานขายมีแนวโน้มต้องการซื้อเร็วโอนเร็ว ดังนั้นจึงนิยมซื้อบ้านพร้อมอยู่เป็นหลัก เพราะฉะนั้นถ้าโครงการที่ทำบ้านพร้อมอยู่จะมีความได้เปรียบกว่าการแบ่งแปลง-จองกระดาษ และก่อสร้างทีหลัง
นโยบายรัฐมีการลงทุนอินฟราสตรักเจอร์ และจำนวนประชากรมากเพียงพอ เพราะหมายถึงกำลังซื้อในพื้นที่โดยตรง คำนิยามคือต้องมีการซื้อจำนวนหลังเฉลี่ยปีละ 5,000 หลัง คูณหลังละ 2 คนในการอยู่อาศัย คิดเป็นกำลังซื้อปีละ 10,000 คน” นายไพโรจน์กล่าว
เพิ่มเติมข่าว https://www.prachachat.net/property/news-376440